ภัยคุกคามที่มากับอุปกรณ์ข้างเคียงมือถือ

Posted on Posted in รายงานภัยไซเบอร์

เป้าหมายการโจมตีของแฮกเกอร์ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะมือถือเท่านั้น แต่เป็นอุปกรณ์ข้างเคียงที่มีการเชื่อมต่อกับมือถือนั้น เช่น สมาร์ทวอทช์ที่กำลังเป็นที่นิยม หรืออุปกรณ์อื่นๆที่สวมใส่ตามร่างกายอื่นๆ (Wearables) เช่นอุปกรณ์วัดสุขภาพ เป็นต้น โดยจุดประสงค์อาจเป็นแค่การสรางความรำคาญหรืออาจมีข้อมูลที่สำคัญที่อาจจัดเก็บในอุปกรณ์เหล่านี้ก็ได้

ปัจจุบันอุปกรณ์สวมใส่ (Wearable Device) ได้กลายเป็นเป้าหมายของการโจมตีด้วยเช่นกัน ข้อมูลในอุปกรณ์เหล่านี้อาจถูกแฮกก์จากอาชญากรไซเบอร์ได้เช่นกับมือถือหรือเครื่องคอมพิวเตอร์ เนื่องจากอุปกรณ์เหล่านี้ยังเป็นเทคโนโลยีใหม่และเสี่ยงต่อช่องโหว่ด้านการรักษาความปลอดภัยอยู่มาก อาจตกเป็นเป้าหมายแฮกเกอร์ที่หวังผลจากข้อมูลส่วนตัวผู้ใช้ ซึ่งถ้าหากไม่รีบหามาตรการรักษาความปลอดภัยจากเรื่องเฉพาะตัวอาจกลายเป็นความเสี่ยงระดับองค์กร

ในช่วงศตวรรษนี้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์มีพัฒนาการที่โดดเด่นอย่างมากจากคอมพิวเตอร์ที่เคยใช้งานอยู่บนโต๊ะ มาใช้งานอยู่บนตักแทน จากนั้นย้ายเข้าไปอยู่บนมือ และในที่สุดก็อยู่บนอวัยวะอื่นๆบนร่างกายของเรา เนื่องด้วยความนิยมที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆอุปกรณ์ Wearable Device หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบบสวมใส่จะมีมากขึ้นพอๆกับมือถือหรือมากกว่า ความนิยมที่เพิ่มขึ้นเป็นแรงผลักดันมาจากบรรดาแก็ดแจ็ตทั้งหลาย เช่น อุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะต่างๆ ที่กำลังได้รับความนิยมในช่วงนี้ ไม่ว่าจะเป็น Fitbit และสายรัดข้อมืออัจฉริยะเพื่อสุขภาพของ Jawbone เป็นต้น

กูเกิลได้เปิดตัวกูเกิลกลาส (Google Glasses) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่สวมใส่ในรูปของแว่นตา ซึ่งมีเพียงไม่กี่พันชิ้นให้กับคนที่อยากทดลองเทคโนโลยีใหม่ๆโดยเป็นรุ่นที่ยังอยู่ระหว่างการพัฒนาต่อ ต่อมาแอปเปิ้ลได้กระโดดลงสู่สมรภูมิ Wearable Device ด้วยผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ชื่อ iWatch ที่กำลังได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน

ในปัจจุบัน ผู้ใช้ต่างเชื่อมต่อตัวเองกับอินเตอร์เน็ตมากขึ้นทุกที สิ่งสำคัญที่ต้องระวังคือเรื่องของความเสี่ยงและสิ่งที่แฝง มากันอุปกรณ์ใหม่อย่าง Wearable Device ไม่ว่าจะเป็นสายรัดข้อมือสำหรับการออกกำลังกายที่สามารถมอนิเตอร์และจับข้อมูลเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของเราโดยใช้ GPS หากอีกมุมหนึ่งกลับเป็นการเปิดช่องให้ผู้ประสงค์ร้ายได้ข้อมูลที่เป็นรายละเอียดกิจวัตรประจำวัน และรูปแบบการใช้ชีวิตของเรารวมถึงที่อยู่ปัจจุบันไปได้เช่นกัน และนี่เป็นเรื่องส่วนตัวที่ผู้ไม่หวังดีจะสามารถดึงข้อมูลบางอย่างจากตัวเรา และหากเป็นในแง่ขององค์กร ย่อมส่งผลกระทบได้มากกว่านั้น

เทคโนโลยี Wearable Device เป็นแค่อีกช่องทางโจมตีหนึ่งที่ต้องรับมือให้ได้ และในฐานะที่เป็นส่วนขยายการใช้งานด้าน BYOD (Bring Your Own Device) ธุรกิจควรมีนโยบายด้านการใช้งานข้อมูลและการรักษาความปลอดภัยเครือข่ายให้ครอบคลุมทุกความกังวลเกี่ยวกับเทคโนโลยี Wearable Device แม้ว่าฝ่ายไอทีส่วนใหญ่จะมีแนวทางไว้รับมือกับประเด็นเรื่องของการเชื่อมต่อกับโซเชียลจากที่ทำงาน การใช้งานระบบคอมพิวเตอร์และ BYOD ได้อย่างปลอดภัยอยู่แล้วก็ตามที แต่เรื่องของเทคโนโลยี Wearable Device ก็ทำให้เกิดคำถามใหม่สำหรับการพัฒนาต่อยอดมาตรฐานเหล่านี้ในอนาคต

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีความเสี่ยง แต่ประโยชน์ของ BYOD และ เทคโนโลยี Wearable Device มีข้อดีเกินกว่าที่จะละเลย และเพื่อควบคุมการใช้งานบนโลกโมบาย มืออาชีพด้านการรักษาความปลอดภัยไอทีต้องสามารถเห็นทุกสิ่งในสภาพแวดล้อม เพื่อกำหนดระดับความเสี่ยง และรักษาความปลอดภัยได้อย่างเหมาะสม ทางออกที่เหมาะสมสำหรับองค์กรส่วนใหญ่คือต้องสร้างนโยบายที่ชัดเจนในการกำหนดให้พนักงานนำอุปกรณ์ส่วนตัวมาใช้งานได้อย่างเหมาะสมในองค์กร และต้องมีการตรวจสอบและควบคุมการบังคับใช้งานตามนโยบายเหล่านี้อย่างเพียงพอ

การรักษาความปลอดภัยอุปกรณ์โมบายควรมีการป้องกันก่อนและหากเกิดขึ้นก็มีขั้นตอนปฏิบัติที่ชัดเจนในการตรวจสอบหาผู้กระทำความผิดนั้นให้ได้ องค์กรควรมีการควบคุมการใช้อุปกรณ์โมบายในทุกแง่มุม ใช้ที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร รวมถึงการเข้าถึงและจัดเก็บข้อมูลอะไรได้บ้าง ควรมีความสามารถในการมองเห็นและความรู้เท่าทันที่นำมาใช้ดำเนินการต่อได้ ล้วนเป็นสิ่งสำคัญสำหรับมืออาชีพด้านการรักษาความปลอดภัย ในแง่ของการระบุภัยคุกคามและอุปกรณ์ที่สุ่มเสี่ยง รวมถึงตรวจสอบกิจกรรมที่เกิดขึ้นบนเครือข่ายได้

เมื่อหลีกเลี่ยงสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ และภัยคุกคามบุกรุกเข้ามายังเครือข่าย ต้องสามารถมองย้อนหลังกลับไปได้ว่าภัยคุกคามเข้ามาที่เครือข่ายได้อย่างไร และติดต่อกับระบบงานส่วนไหน รวมถึงแอพพลิเคชันและไฟล์ไหนบ้างที่ทำงานรองรับอยู่ เพื่อให้มั่นใจว่าภัยคุกคามจะถูกกวาดล้างออกไปอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

สุดท้ายแล้วไม่ว่าจะกังวลเรื่องการรักษาความปลอดภัยไอทียังไงก็ตาม ก็ยังไม่มีโซลูชันใดที่ตอบโจทย์ได้ทุกสิ่ง และอาชญากรไซเบอร์ก็ยังคงหาช่องโหว่ทางเทคโนโลยีเพื่อทำการโจมตีตลอดเวลา จึงเป็นความท้าทายอันใหญ่หลวงสำหรับองค์กรที่ต้องนำหน้าอาชญากรอยู่หนึ่งก้าวเสมอ อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้เป็นวิธีที่องค์กรต้องรับมือกับเหตุการณ์จริงที่มีผู้แฮกเข้ามายังระบบ และส่งผลกระทบต่อองค์กร ซึ่งการที่องค์กรมีแผนตั้งรับที่ชาญฉลาดทั้งเรื่องการตรวจจับ ป้องกันและแก้ไขได้อย่างรวดเร็วในเวลาที่เกิดเหตุการณ์ขึ้นจริง นั่นคือความแตกต่างระหว่างความขัดข้องด้านเทคโนโลยีเพียงเล็กน้อย กับการที่ระบบงานต้องล่มทั้งระบบ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *